ฮือฮา เมื่อวันที่ 2 ต.ค.58ที่ผ่านมา “พระครูบาไก่” หรือ พระอาจารย์สุวิทย์ ชินวโร พระลูกวัดวัดป่าโสรโย บ้านขุมดิน หมู่ 4 ต.คุดเค้า อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น ได้นิมิตเห็นพระพุทธรูปอีกแล้ว ในครั้งนี้อยู่ใต้พื้นบ้าน
ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนายพงษ์เทพ แก้วตา อายุ 64 ปี ว่า ที่บ้านเลขที่ 16 ม.6 บ.ดอนแก่นเท่า ต.นางาม อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น ของนายสำอางค์ ไมโสภา อายุ 64 ปี และนางศรีนวน ไมโสภา อายุ 63 ปี ภรรยา ได้นิมนต์พระอาจารย์สุวิทย์ ชินวโร หรือพระครูบาไก่ พระลูกวัดวัดป่าโสรโย บ้านขุมดิน หมู่ 4 ต.คุดเค้า อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น มาประกอบพิธีบำเพ็ญจิตภาวนาและนั่งสมาธิ เพื่อทำการขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และนำวัตถุมงคลขึ้นมาจากใต้ดินภายในบ้าน
หลังรับแจ้งจึงรีบรุดไปตรวจสอบ ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก เมื่อเดินทางไปถึงพบชาวบ้านพากันมาร่วมบำเพ็ญจิตภาวนา รวมทั้งการจัดเตรียมเครื่องมือในการขุดเจาะพื้นบ้าน โดยมีพระครูนิวัฐสมณวัตร เจ้าอาวาสวัดอุดมคงคาคีรีเขต (วัดหลวงปู่ผาง) ในฐานะเจ้าคณะตำบลนาข่า และตำบลนางาม และพระครูกันตธรรมานุรักษ์ เจ้าอาวาสวัดศรีสุมัง อ.ชนบท ในฐานะเจ้าคณะอำเภอชนบท มาร่วมเฝ้าติดตามการประกอบพิธีดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระอาจารย์สุวิทย์จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยและขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บริเวณหน้าบ้านหลังดังกล่าว ซึ่งเป็นบ้าน 2 ชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ โดยใช้เวลาในการประกอบพิธีประมาณ 30 นาที จากนั้นพระอาจารย์สุวิทย์เดินไปบริเวณมุมขวาทางขึ้นบันได้บ้านไปชั้น 2 ข้างห้องน้ำ และใช้ไม้เท้าชี้ลงบนพื้นบ้าน ซึ่งปูกระเบื้องอย่างสวยงาม ท่ามกลางการมุงดูของชาวบ้านที่มาเฝ้าสังเกตการณ์ เนื่องจากจุดดังกล่าวอยู่ภายในบ้านมีการเทปูนและปูกระเบื้องทับอย่างแน่นหนา ซึ่งเจ้าของบ้านอนุญาตให้ทำการขุดเจาะได้ โดยชาวบ้านนำเลื่อยตัดวงเดือน, ชะแลง, ค้อนและเครื่องตัดกระเบื้องมาทำการขุดเจาะ เป็นรูปสี่เปลี่ยมกว้าง ยาวประมาณ 1.5 เมตร ขุดเจาะลงลึกไปได้ประมาณ 4 เมตร พร้อมใช้สายสิญจน์ผูกอ้อมรอบหลุม
จากนั้นพระครูบาไก่จึงจุดธูปเทียนขอขมา รวมทั้งให้เจ้าของบ้านขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และบอกเจ้าที่เจ้าทางในการขออันเชิญวัตถุมงคลล้ำค่าขึ้นมาจากพื้นดิน ก่อนที่ไม่นานจะขุดพบพระพุทธรูปปางสะดุ้งมาร เนื้อทองฝาบาตร สีเขียว หน้าตัก 5 นิ้ว สูงประมาณ 12 นิ้ว ฝังจมอยู่ในดิน เมื่อนำขึ้นมาพบว่าเป็นศิลปะแบบลาว โดยเฉพาะบริเวณสะไบห่มองค์พระและรอบฐานขององค์พระเป็นลายรูปดอกจันทร์และมีภาษาลาวจารึกอยู่ จึงอันเชิญขึ้นมาเพื่อประกอบพิธีบูชาพระรัตนตรัย และขอขมาสิ่งศักดิ์ในพื้นที่จากการขุดพบดังกล่าว ท่ามกลางชาวบ้านที่มาเฝ้าติดตามการขุดพระดังกล่าว
นายพงษ์เทพ แก้วตา พี่ชายของนางศรีนวน กล่าวว่า บ้านหลังดังกล่าวเป็นของน้องเขย คือนายสำอาง และนางศรีนวน ซึ่งป่วยมาตลอดตั้งแต่สร้างบ้าน เดิมเป็นพื้นที่ทำสวนปลูกต้นขนุน พริก มะเขือ ปลูกทุกอย่างที่กินได้ สมัยโบราณมีต้นไม้ใหญ่อยู่ตรงนั้น สมัยผมเป็นเด็กมีแสงไฟขึ้นตรงต้นขนุน เป็นไฟดวงใหญ่แสงจ้าสักพักก็หล่นลงมา บอกใครก็ไม่มีใครสนใจ พอพ่อผมเสียชีวิต ลูกเขยและลูกสาวก็รื้อบ้านเก่าออก ก็ย้ายมาปลูกบ้านตรงนี้ และตัดต้นไม้ทุกอย่างออกหมด
“หลังจากสร้างบ้านหลังนี้เสร็จ นางศรีนวนก็ล้มป่วยลงไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร ป่วยกระเซาะกระแซะ หลงๆ ลืมๆ เหมือนกับคนบ้า บางทีก็ดี ก็พาไปหาหมอสารพัด ต่อมาก็เหมือนเป็นพากินสัน ก็ไปรักษากินยาไปกินมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยจะหาย พาไปหาหมอรพ.ไหนดังๆ ไปหมด หมอก็ฉีดยาให้เอายามาให้กิน ก็ไม่หายมีแต่นอนกับนอน พูดไม่รู้เรื่อง เดินก็ไม่ไหว จู่ๆ วันดีคืนดีก็เดินได้ กินข้าวได้ บางวันก็เดินไปทำกับข้าวกินเอง ผมกับพี่ชายน้องชาย ญาติทุกคน ก็มารวมตัวกันปรึกษาว่ามันรักษาไม่ได้แล้ว หมดเงินไปหลายแสนแล้ว ก็ปรึกษาว่าปล่อยซะปล่อยให้ตายเลย ชาวบ้านบางคนบอกว่าผีพ่อมาทำบ้าง เลี้ยงพ่อไม่ดี อะไรอย่างนั้น ก็มาขอขมา จุดธูปขอขมาพ่อบอกว่า ถ้าเป็นพ่อทำจริงๆ ก็ขอให้หาย ถ้าไม่ให้หาย ก็ให้ตายซะมันทรมานคนป่วย ก็ไม่หายเหมือนเดิม ก็คุยกันในบ้านว่า มันพูดไม่ได้แล้วนี่มันทุกข์ คนดูแลก็ลำบาก” นายพงษ์เทพ กล่าว
พระอาจารย์สุวิทย์ ชินวโร กล่าวว่า พระพุทธรูปปางสะดุ้งมารที่ขุดพบนั้น น่าจะเป็นพระประธานของบ้านที่คนในสมัยก่อนนำมาบูชาไว้ในครอบครัว เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและประกอบพิธีทางศาสนาประจำบ้าน และล่มสลายไปตามกาลเวลา โดยถูกฝังอยู่ที่นี่มานาน ดูจากองค์พระที่มีความงดงามตามกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป แต่การสำรวจและตรวจสอบนั้นคงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ ซึ่งพระพุทธรูปที่ขุดพบได้นั้น จะถูกนำกลับไปไว้ในพิพิธภัณฑ์ชุมชนของวัดป่าโสรโยขุมดินทั้งหมด เพื่อไว้เป็นวิทยาทาน และคงไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นของคนขอนแก่น อย่างไรก็ดีการขุดพระหรือนิมิตรปาฎิหาริย์ใดๆ นั้นจากนี้ไปก็คงต้องหยุดไว้ก่อน เนื่องจากมีการท้วงติงจากพระเถระชั้นผู้ใหญ่มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโดยส่วนตัวไม่ต้องการแสดงอภินิหารหรืออวดอุตริแต่อย่างใด แต่วิชาความรู้และพระธรรมคำสั่งสอนในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รวมถึงการทำศาสนกิจของสงฆ์ร่วมกับชุมชนนั้นยังคงเป็นสิ่งที่อาตมาจะต้องทำ แต่การขุดพระหรือค้นพบสิ่งลี้ลับ จากนี้ไปคงเป็นไปในรูปแบบของคณะกรรมการพิจารณา และต้องได้รับการอนุญาจากท่านเจ้าอาวาสทุกครั้ง
ด้าน พระครูนิวัฐสมณวัตร เจ้าอาวาสวัดอุดมคงคาคีรีเขต ในฐานะเจ้าคณะตำบลนาข่า-นางาม กล่าวว่า วัดป่าโสรโยชุมดิน อยู่ในความปกครองของอาตมา ซึ่งหลังจากข่าวเผยแพร่ออกไป ทั้งในส่วนของเจ้าคณะจังหวัดและเจ้าคณะอำเภอได้สั่งการให้พระปกครองได้เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจหาความผิดแต่เมื่อตรวจสอบในรายละเอียดและเป็นการดำเนินการในกิจของสงฆ์และอยู่ในความกำกับควบคุมดูแลของเจ้าอาวาสวัดอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะกับการร่วมเฝ้าสังเกตุการณ์และเฝ้าติดตามพฤติกรรม และการกระทำตามที่ข่าวเผยแพร่ปรากฎออกไป ก็พบว่าไม่ได้ขัดต่อกิจของสงฆ์ทั้ง 3 ข้อ ไม่ว่าจะเป็นการอวดอุตริ, การกระทำเชิงพานิชย์หรือการไม่รับกิจนิมนต์จากญาติโยม
ซึ่งจากนี้ไปจะสรุปเรื่องดังกล่าวทั้งหมดรายงานให้กับเจ้าคณะอำเภอมัญจาคีรีได้รับทราบ ตามขั้นตอนของระบบการปกครองของสงฆ์ ส่วนผลการพิจารณาจะออกมาในรูปแบบใดนั้น ขึ้นอยู่กับพระเถรชั้นผู้ใหญ่จะพิจารณาสั่งการ แต่โดยส่วนตัวจะรายงานไปตามข้อเท็จจริง เพราะยังคงไม่พบความผิดใดๆเกิดขึ้น
ขอขอบคุณข่าวและภาพจาก http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1443765862